เทศน์ที่ธรรมศาสตร์รังสิต ครั้งที่ ๑ ไฟล์ที่ ๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๐
ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
เพราะว่าคนเรามันไม่เข้าใจตัวเอง มันไม่เข้าใจสมบัติของเรา เกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นสมบัติมหาศาลเลย แต่คนลืม ดูสิ เวลาเราทำงานแล้วไม่ได้สมความปรารถนา เราจะเสียใจมากเลย ใครทำอะไรถ้าไม่ประสบความสำเร็จแล้วก็จะเสียใจมากเลย แล้วเคยมีไปหาเรานะ บอกว่าไม่ได้สมตามความปรารถนา เราบอกว่า โยมดูถูกตัวเอง มองข้ามตัวเองไป มองข้ามสมบัติที่มีค่ามากที่สุดคือชีวิต มองข้ามไป แล้วเราก็จะใช้ชีวิตเราไปแค่หมดนะ แล้วก็ตายไป
แต่เราไปผูกพันกับสมบัติข้างนอก แล้วก็เสียใจกันนะ ทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จจะเสียใจมาก ประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ มันอยู่ที่บุญกุศล เวลากิเลสมันคิดนะ เวลาเราจะทำบุญกุศลกัน ถ้าใครทำทานเสียสละก็บอกคนนี้คนโง่ แต่คนที่มักมาก คนที่เห็นแก่ตัว คนที่เอาผลประโยชน์ใส่ตัวเอง เขาว่าคนนั้นคนฉลาด แต่เวลามาประพฤติปฏิบัตินี่ โอกาสไง บุญกุศลคือจังหวะและโอกาส
โอกาสของเราทำอะไรประสบความสำเร็จไปทั้งนั้นเลย จะไม่มีคนมาขัดขวางเลย บางคนนะ คิดว่าดีไปหมดเลย แต่ทำไปจะมีอุปสรรคไปตลอด บุญมันเกิดกันอย่างนี้นะ นี่คือบุญที่เป็นสมบัติจากภายนอก ถ้าสมบัติจากภายใน นักภาวนาจะรู้เรื่องอย่างนี้เพราะมานั่งภาวนาด้วยกัน มาด้วยกันทั้งนั้นเลย ก็มีลมหายใจเหมือนกัน มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน แล้วก็นั่งภาวนาเหมือนกัน บางคนภาวนาแล้วดี บางคนภาวนาแล้วไม่ดี บางคนคราวนี้ดี คราวหน้าไม่ดี เห็นไหม
นี่มันมาจากไหน มันมาจากบุญกุศลนะ การเสียสละทานนี่แหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม พระเวสสันดรเวลาเสียสละเห็นไหม ลูกเมียนี่ใครบ้างไม่รัก รักลูกรักเมียนี่รักมากนะแล้วเป็นอุปสรรคนะ แล้วพูดถึงชูชกเป็นจัณฑาลเป็นยาจกมาขอ อำนาจมันมีที่จะปฏิเสธได้มหาศาลเลย แล้วให้ทำไม นี่เพราะการฝึกมานะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์จะต้องเสียสละตรงนี้
ถึงสุดท้ายแล้วต้องเสียสละลูกสละเมีย เพราะเรื่องลูกเรื่องเมียเรื่องเพศตรงข้ามมันจะเป็นเรื่องความดึงดูดหัวใจมาก แล้วการเสียสละอย่างนี้ การเสียสละแบบนี้คนมีกิเลสนะ เพราะขณะนั้นพระเวสสันดรยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ คนมีกิเลสมันต้องเห็นแก่ตัว คนมีกิเลสจะต้องปกป้องสิ่งที่เรารัก แต่การเสียสละออกไป มันเจ็บปวดมาก เจ็บปวดนะ แล้วในปัจจุบันนี้เราจะมองกันแบบวิทยาศาสตร์ว่าเป็นคนที่ไม่รับผิดชอบ ทำไมเสียสละลูกเสียสละเมีย ทำไมไม่เสียสละตัวเอง โลกคิดกันอย่างนั้นนะ เสียสละตัวเองนะ
ในทางตรงข้ามกันถ้าเรามีครอบครัว ถ้าครอบครัวเรามันจะมีปัญหาเราจะเป็นผู้รับผิดชอบแทนใช่ไหม เราจะรับผิดชอบทั้งนั้นล่ะ แต่นี่เขาไม่ขอเรานี่ เขาขอลูกเมียเพราะมันสะเทือนหัวใจ ความสะเทือนหัวใจ โพธิญาณมันอยู่ที่นี่ โพธิญาณมันอยู่ที่พุทธะ พุทธะนี่มันอยู่ที่ภพ ภพคือความรู้สึกนะ เราคิดกันนะว่าเราเกิดเป็นคน เห็นไหม ได้เป็นภพ มีภพมีชาติ เป็นชาติไทยชาติต่างๆ เห็นไหม เรียกว่าเชื้อชาติไง แต่ภพอย่างนี้เป็นสมมุติ เห็นไหม ดูสิ เราไปทางตะวันตกกัน เราจะไปเกิดที่ดินแดนของเขาเพื่อจะไปเอาสัญชาติของเขา ทำไมเราเปลี่ยนแปลงได้ล่ะ เราขอสัญชาติได้นะ เราเปลี่ยนแปลงสัญชาติได้ แต่การเกิดและการตายนี่เปลี่ยนไม่ได้
ภพชาติอันนี้สำคัญมาก ความรู้สึกนี่คือภวาสวะ อนุสัยไง กิเลสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ สิ่งนี้มันเป็นการเกิดและการตาย โพธิญาณมันเกิดที่นี่ กิเลสมันอยู่ที่นี่นะ แล้วเรามาเกิดเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์นะ จิตวิญญาณนี่มีอยู่เต็มไปหมดเลย มิติมันบังเอาไว้ เราจะไม่เห็นจิตวิญญาณ แล้วเราก็ไม่เชื่อว่าจิตวิญญาณมีนะ ถ้าพระองค์ไหนพูดเรื่องผี เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ก็ว่าเป็นผู้ที่ครึ ล้าสมัย แต่ทำไมมนุษย์กลัวผีล่ะ ทำไมเรากลัวความมืดล่ะ เพราะอะไร เพราะสัญชาตญาณไง
จิตดวงนี้มันเคยเวียนเกิดเวียนตายมา มันซับอยู่ที่นี่ มันซับอยู่ที่ใจเรานี่แหละ แล้วเราก็จะปฏิเสธมันว่ามันไม่มี แต่เราเองคือไอ้ผีตัวแรกคือผีที่ยังมีความรู้สึกอยู่ ไอ้ผีคือจิตวิญญาณเรา คนถ้าไม่มีวิญญาณครองคือคนตายนะ แล้ววิญญาณมันอยู่ที่นี่ แล้วเราบอกวิญญาณมันไม่มี วิญญาณมันมีอยู่เต็มไปหมดนะ สิ่งที่การกระทำเห็นไหม การเสียสละ เสียสละอย่างนั้น อย่าว่าแต่มนุษย์เลยนะว่ามีกิเลส มนุษย์นี่มีกิเลส ในจิตวิญญาณเขาก็มีกิเลส แม้แต่เป็นพรหมนะก็มีกิเลส ดูเป็นเทวดาสิ พวกเทวดาเขาต้องมีบริษัทบริวารเห็นไหม เขาก็มีกิเลส สิ่งที่มีกิเลสเห็นไหมคือการเห็นแก่ตัว เราเป็นมนุษย์ก็เหมือนกัน เราเห็นแก่ตัว
ถ้าเห็นแก่ตัว ต้องเห็นแก่ตัวในทางที่ดี เห็นแก่ตัวนะ เพราะอะไร เพราะเห็นแก่ตัวต้องรักตัวเอง รักตัวเองต้องหาสิ่งที่ดีๆ ให้ตัวเอง แล้วอะไรเป็นสิ่งที่ดีให้ตัวเองล่ะ เห็นไหม สิ่งที่เราประกอบสัมมาอาชีวะมันเป็นความดีเด็กๆ ไง คนดีนะ คนรับผิดชอบ คนรับผิดชอบครอบครัว คนรับผิดชอบทุกๆ อย่างเป็นคนดี แต่ดีอย่างนี้มันดี เห็นไหม อย่างการเสียสละทาน ผู้ที่เสียสละ ผู้ที่ให้ความสุขแก่ผู้อื่นเป็นคนดี แต่คนดีอย่างนี้มันก็ดีในอามิสไง ดีในการเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะไง
ถ้าดีอย่างนี้แล้วศาสนาสอนให้ดีกว่านั้นขึ้นไปอีก สอนให้รับผิดชอบตนเอง ให้รู้จักตนเอง ถ้ารู้จักตนเอง ตนเองที่ไหน เห็นไหม ถ้าเราไม่รู้จักตัวเราเองนะ เราไม่รู้จักสถานที่สกปรก เราจะทำให้สิ่งสกปรกนั้นสะอาดไม่ได้ ถ้าเราไม่เห็นตัวเราเอง เราจะทำจิตใจให้มันสะอาดได้อย่างไร ถ้าเราจะจิตใจสะอาดเห็นไหม ความรู้สึกของเราเหมือนกับน้ำเห็นไหม น้ำหรืออากาศ มันแพร่กระจายไปตามธรรมชาติของมัน ความรู้สึกของเราก็แพร่กระจายไปตามธรรมชาติของมัน เราคิดถึงตะวันตกสิ เราคิดถึงสิ่งที่ไกลที่สุดสิ จิตออกไปได้ตลอดเวลาเลย ความเร็วของจิตมันไปได้ไกลมาก เร็วมากเลย มันมีพลังงานของมันส่งออกตลอดเวลา แล้วเราก็คิดแต่เรื่องนอกๆ เห็นไหม
วัตถุภายนอกเป็นสิ่งที่เป็นธาตุ ๔ เป็นวัตถุ วัตถุคือความคิด ความคิดเป็นวัตถุอันหนึ่งนะ ตัวจิตนี่เป็นพลังงาน แต่ตัวความคิดมันเป็นวัตถุเกิดจากพลังงานนั้น แล้ววัตถุอันนี้ เห็นไหม ถ้าใครเห็นจิตไง เห็นจิต เห็นอาการของจิต สิ่งที่เห็นจิต เห็นอาการของจิต มันจะแก้ไขตรงนี้ได้ มันจะแก้ไขนะ ถ้าเราแก้ไขไม่ได้เห็นไหม เราไม่รู้จักตัวมันเอง เราจะไม่รู้จักสิ่งใดเลย ทางวิทยาศาสตร์เห็นไหม เขาเข้าใจถึงอากาศ เขาเข้าใจถึงแหล่งน้ำ เขาเข้าใจสิ่งต่างๆ เขาเอาสิ่งนี้มาทำเป็นอุตสาหกรรม เขาจะเอาสิ่งนี้มาเป็นประโยชน์ต่อเขา
แต่นี่วิทยาศาสตร์ทางจิตไง วิทยาศาสตร์ทางจิตนะ มันเริ่มมีตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมนะ เจ้าชายสิทธัตถะออกแสวงหากับเขา ออกแสวงหากับเขามาก ไปศึกษาเล่าเรียนกับลัทธิต่างๆ เห็นไหม มันก็เหมือนกับในปัจจุบันนี้ที่เราถือผีถือสางกันเห็นไหม ถือผีถือสางทรงเจ้าเข้าทรง สิ่งนี้มันก็เหมือนกับสมัยพุทธกาล สิ่งนี้คืออะไร เพราะเวลาเราเข้าสมาบัตินะ เข้าสมาธิได้เห็นไหม พวกพรหมศาสตร์ พวกที่เขาดูฤกษ์ดูยาม ถ้าจิตเขาสงบนะ เขาจะทายได้เที่ยงตรงมาก ถ้าจิตเขาคลาดเคลื่อนนะ สิ่งนั้นก็จะไม่เป็นประโยชน์กับเขา
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตเราสงบนะ ไอ้เรื่องเหาะเหินเดินฟ้า ไอ้เรื่องอภิญญามันเรื่องธรรมดา แล้วในปัจจุบันนะ วิทยาศาสตร์มันเจริญมาก สิ่งนี้เจริญเห็นไหม เดี๋ยวนี้คนอยากจะเหาะก็ได้ทุกคนเลย ตีตั๋วเหาะได้หมดเลย หูทิพย์ตาทิพย์เห็นไหม หูทิพย์ วิทยาศาสตร์มันทำได้ไง วิทยาศาสตร์มันทำเรื่องอภิญญาได้ แต่ถ้าดูสมัยพุทธกาลสิ่งนี้มันไม่มีเห็นไหม สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญนะ
ในสมัยพุทธกาลนะ สองพันกว่าปีมาแล้ว หมอชีวกผ่าตัดสมองได้นะ หมอชีวกผ่าตัดสมองมาแล้ว แต่เราเพิ่งมาตื่นเต้นวิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบันนี้เท่านั้นเอง สิ่งนี้มันเป็นเรื่องอภิญญา มันเป็นเรื่องวัตถุไง มันเป็นเรื่องข้างนอกไง แต่วิทยาศาสตร์ทางจิต เทคโนโลยีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคนะ เวลาเขาไปถามกัน ศาสนาพุทธ แก่นของศาสนาคืออะไร ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันก็กระดาษแผ่นหนึ่งนะ กระดาษแผ่นหนึ่งนะดูสิ ในตำราเขียนไว้ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันก็กระดาษเปื้อนหมึก กระดาษเปื้อนหมึกเท่านั้นเอง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคมันเกิดที่ความรู้สึกนี่ ไอ้กระดาษนั้นมันชื่อไง
เราชื่อนาย ก นาย ข นาย ง เห็นไหม เรามีชื่อ เรามีสัญชาติ เราเปลี่ยนสัญชาติเปลี่ยนที่ไหน ไปเปลี่ยนที่ว่าการอำเภอนะ แต่ที่เราจะเปลี่ยนสัญชาติเลย เราจะลบภพเลย มาลบที่ปัจจุบัน ลบที่ความรู้สึกนี่ไง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคมันเกิดที่นี่ มันเกิดที่ความรู้สึกของเรานี่ มันไม่ได้เกิดอยู่ที่ตำรับตำรานะ ตำรับตำรานี่คือเทคโนโลยีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมาแล้ววางไว้ไง วางไว้ วางไว้เป็นวิชาการเห็นไหม ทางวิชาการ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติเรียนจนท่องจำได้หมดเลย แต่กลัวผี กลัวเกิด กลัวตาย กลัวทุกๆ อย่าง แต่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเป็นใจของเรานะ ผีตัวนี้ไง ผีตัวนี้หลอกเรามาตลอดนะ ความเห็นผิดของเรานี่หลอกมาตลอดเลย หลอกว่าที่นั่นจะดี ที่นี่จะดี ทำอย่างนี้จะประสบความสำเร็จนะ ให้อ้อนวอนอย่างนั้นให้ทำอย่างนี้จะประสบความสำเร็จ แล้วมันประสบความสำเร็จไหม มันประสบความสำเร็จก็ประสบความสำเร็จโดยสมมุติไง ชั่วคราวไง
มันมีอะไรประสบความสำเร็จบ้าง มันไม่มีหรอก คนเราใช้ปัจจัย ๔ เท่านี้แหละ แต่ถ้ามันย้อนกลับมานะ ถ้าจิตเราสงบนะ ถ้าจิตสงบเข้ามา แค่จิตสงบเราก็ตื่นเต้นแล้ว คนขนาดถ้าไม่ตื่นเต้นนะ จะไม่เข้าใจว่าความสงบนี่เป็นนิพพาน แค่เป็นสมาธินี่ติดนิพพานกันแล้ว เพราะเข้าใจว่าความเป็นสมาธินี่เป็นนิพพาน สมาธิเป็นสมาธิ สมาธิมันเป็นมรรค ๘ นะ มรรค ๘ เห็นไหม เราศึกษากันถ้าหน่วยกิตเราส่งไม่ครบ อาจารย์เขาไม่ให้ผ่านหรอก ถ้ามรรคไม่ครบองค์ ๘ ไม่มัชฌิมาปฏิปทา ไม่มรรคสามัคคี มันชำระกิเลสไม่ได้หรอก
สิ่งที่เกิดขึ้นมามันวิปัสสนูกิเลสไง มันเป็นวิปัสสนู มันเป็นความว่างเห็นไหม มันเป็นกิเลสอันหนึ่ง วิปัสสนูความว่าง อากาศ ความว่างต่างๆ มันเป็นวิปัสสนูกิเลสนะ มันเป็นกิเลสอย่างละเอียดไง เรานี่มีกิเลสอย่างหยาบๆ กัน เรามีหยาบๆ เราศึกษากัน เราว่าเราอยากจะพ้นทุกข์กัน สิ่งนี้อยากพ้นทุกข์กันเห็นไหม แล้วเวลาเราใช้ปัญญาเข้าไป มันเป็นโลกียปัญญาไง เหมือนกับเราศึกษาเล่าเรียนเห็นไหมเป็นปริยัติ การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เราจะบอกว่าปริยัติในปฏิบัติไง เพราะอะไร เพราะเทศน์ของครูบาอาจารย์มีไว้ใช่ไหม เราก็ศึกษาตามเทศน์ของครูบาอาจารย์มา พอฟังเทศน์ไป ตามศึกษาครูบาอาจารย์มามันก็สร้างภาพไง
นี่วิปัสสนึก พอวิปัสสนึกขึ้นมา ถ้าเราสร้างขึ้นมามันว่าง พอมันว่างขึ้นมาเรารู้ว่าว่างนะ เราก็รู้ว่าเราฟุ้งซ่าน เราก็รู้ว่าเราทุกข์ เรารู้ว่าเราทุกข์นะ เวลาทุกข์เรารู้ว่าทุกข์ เราคิดว่าเรารู้ไง แต่โดยอริยสัจนะไม่รู้ ถ้ารู้นะ ไฟนี่มันไม่มีใครเขาอยากจับหรอกเพราะจับแล้วมันพอง ถ้ารู้ว่าทุกข์ทำไมทุกข์ ถ้ารู้ว่าทุกข์เราต้องไม่จับไฟสิ แต่นี่เราบังคับไม่ได้ มันต้องคิด มันต้องทุกข์ มันต้องยึด แล้วเราก็ทุกข์อยู่อย่างนี้ แล้วบอกว่าทุกข์ ว่าทุกข์ ไม่รู้ มันผลที่เกิดจากทุกข์ต่างหาก สิ่งที่เกิดจากทุกข์เห็นไหม ถ้าจิตมันไม่สงบขึ้นมามันไม่เห็นตรงนี้ แล้วเราไปเข้าใจ รู้ว่าว่าง หมายถึงว่าเราใช้ปัญญาไง
มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาที่เราศึกษากันอยู่ ที่เราทำกันอยู่มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิเพราะความสิ้นสุดของมัน กระบวนการของมันคือวิปัสสนูกิเลสเห็นไหม พอมันปล่อยวางเข้ามาทั้งหมด มันรู้ว่าว่างเห็นไหม ทุกข์คนจะรู้ว่าว่าง เรานั่งอยู่ลมพัดมา เราว่าเย็น ลมพัดมาถึงตัวเราว่าเย็น ลมกับเรามันคนละอันนะ รู้ว่าว่าง คนละอันกับความรู้สึกนะ มันคนละอันกับตัวจิตนะ ถ้าตัวจิตว่าง ตัวเองมันจะว่าง ไม่ใช่รู้ว่าว่าง ถ้ารู้ว่าว่างเพราะอารมณ์ความรู้สึกเรา เรารู้ได้ใช่ไหม เวลาเราทุกข์เราก็รู้ว่าทุกข์เห็นไหม มันเป็นโลกียปัญญาไงคือปัญญาโลกไง ปัญญาวิทยาศาสตร์ไง ธรรมะเหนือโลกเห็นไหม โลกุตตรปัญญามันละเอียดกว่าที่เราทำกันอยู่นี้มหาศาลเลย มันละเอียดที่ไหน
มันละเอียดต่อเมื่อคนที่รู้จริงไง คนรู้จริงเห็นจริงขึ้นมามันจะละเอียดมาก ละเอียดเพราะมันเป็นโลกุตตรปัญญา เป็นภาวนามยปัญญา แล้วภาวนามยปัญญานี่มันเกิดมาจากไหน ถ้าไม่มีการเริ่มต้นมันเกิดไม่ได้นะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาจากเราใช่ไหม มันเป็นสมมุติไหม ใช่ เป็นสมมุติ ความคิดเราเป็นสมมุติไหม ใช่ เป็นสมมุติ การศึกษาธรรมะของครูบาอาจารย์เป็นสมมุติใช่ไหม ใช่ เป็นสมมุติ เป็นสมมุติทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะมันเกิดจากกิเลส มันเป็นสมมุติทั้งนั้น เป็นสมมุติทั้งหมดเลย ความคิดที่คิดอยู่นี้สมมุติทั้งนั้น เป็นปัญญาหลอกๆ ทั้งนั้นเลย ปัญญาก๊อบปี้ ปัญญาจำมาทั้งนั้น แต่เพราะมันเป็นปัญญาเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนกับน้ำร้อนกับน้ำเย็น น้ำร้อนจุ้มลงไปน้ำร้อน มันก็ร้อน มือจุ้มน้ำเย็น มันก็เย็น
จิตนี่ศึกษาสิ่งที่เป็นความดีเป็นธรรมพระพุทธเจ้า มันก็เย็น แต่จิตไปจุ่มในน้ำร้อน ในกิเลสมันก็ร้อน เห็นไหม มันก็เป็นสมมุติทั้งนั้น มันสมมุติข้างนอก แล้วความจริงอยู่ที่ไหน ความจริงยังไม่เกิดไง ถ้าความจริงมันเกิดเห็นไหม เราต้องทำสัมมาสมาธิเข้ามา มันจะเป็นประโยชน์กับเรานะ ถ้าทำสัมมาสมาธิเข้ามา นี่ธรรมเกิด เกิดอย่างนี้ ธรรมเกิดนะ เวลาเราสงสัยในสิ่งต่างๆ เวลาเราประพฤติปฏิบัติเห็นไหม เราสงสัยในสิ่งต่างๆ แล้วเราทำจิตสงบเข้าไป พอจิตสงบเข้าไปมันจะเกิดคำตอบขึ้นมาในใจ สิ่งที่เกิดคำตอบขึ้นมาในใจนี่ธรรมเกิด
ธรรมเกิดคือสภาวธรรมไง ธรรมจริงเกิดเห็นไหม ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ การเกิดและการตายก็เป็นธรรมชาตินะ ชีวิตคู่นี่ก็เป็นธรรมชาติ ชีวิตคู่นี่เป็นธรรมชาติ สัตว์ที่มันสืบพันธุ์กันอยู่ก็เป็นธรรมชาติ ธรรมะมันเป็นธรรมชาติหรือ ถ้าเป็นธรรมชาติมันก็เป็นวิทยาศาสตร์สิ ธรรมชาติมันก็แปรปรวนสิ แต่ถ้าเป็นธรรมเหนือโลกมันธรรมเหนือธรรมชาติ มันรู้สัจจะความจริงแล้วมันวางไว้ตามเป็นจริง มันเหนือธรรมชาติ มันถึงทิ้งธรรมชาติได้
การเกิดและการตายเป็นธรรมชาติ การมีชีวิตคู่ก็ธรรมชาติ ความสุขความทุกข์ก็เป็นธรรมชาติ แล้วก็บอกว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ เห็นไหม เป็นโลกียปัญญา ปัญญาโลกๆ ไง แล้วตีความเห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้ๆ เลยนะ แต่เอามาตีความกันผิด แล้วเวลาศึกษาธรรม ศึกษาธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะผิดไปไหน เป็นโลกุตรธรรม ใช่ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นโลกุตรธรรม แต่ธรรมของเราเป็นโลกียธรรม เพราะเอากิเลสเราเข้าไปศึกษา เอากิเลสของเราไปตีความ แล้วเรายึดกิเลสเรา
โดยธรรมชาติ เราใส่แว่นอะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่มองออกไปจากแว่นจะเป็นสีนั้น เลนส์เราสีอะไรก็ออกเป็นสีนั้น กิเลสในหัวใจมันครอบใจอยู่ ใจจะศึกษาขนาดไหน ศึกษาโดยกิเลสทั้งหมด เห็นไหมมันถึงปริยัติขึ้นมา ปริยัติแล้วปฏิเวธคือปล่อยวางแล้วรู้แจ้ง ไม่มี ปริยัติรู้ไว้เป็นวิธีการเท่านั้น ปริยัติไม่มีรู้แจ้ง ถ้าไม่มีการปฏิบัติ ดูสิ ดูทางการแพทย์เห็นไหม ถ้าเขาศึกษานะ เขาเรียนแพทย์มา แล้วเขาไม่ฝึกหัด เขาจะเป็นแพทย์ไม่ได้เลยเพราะเขาจะได้ทฤษฎีมาเท่านั้นเอง แพทย์พอจบแล้วก็ต้องไปเป็นแพทย์ฝึกหัด ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
ไม่มีการปฏิบัติ ปฏิเวธเกิดไม่ได้ ปฏิเวธเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาที่ไหน ถ้าปฏิเวธเกิดขึ้นมามันเป็นสมบัติส่วนตนเห็นไหม ธรรมะนะ ธรรมะสาธารณะคืออากาศเป็นของสาธารณะ แต่เวลาเราหายใจเข้าไปในทรวงอกของเรา อากาศนี้เป็นของเรา เพราะมันอยู่ในปอดของเรา สิ่งที่เกิดขึ้นจากใจจะเป็นธรรมะของเรา ถ้าธรรมะของเราเกิด เกิดมาจากไหน เกิดมาจากการประพฤติการปฏิบัตินี่ไง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
ถ้าไม่มีการปฏิบัติเห็นไหม แล้วการปฏิบัติในปัจจุบันนี้ ปฏิบัติในแนวทางไหน การปฏิบัตินะในขั้นของสมถะไม่มีแนวทางไหนถูกต้องเลย ไม่มีแนวทางไหนผิดพลาดเลย ถูกต้องได้หมด แนวปฏิบัติในเรื่องสมถะถูกต้องได้ทุกแนวทาง ในสมถะนะ สมถะถูกต้องได้หมด เพราะโดยธรรมชาติ สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องแปรปรวนเป็นธรรมดา ความทุกข์ขึ้นตอนไหน ขณะที่ปัจจุบันเราทุกข์มหาศาลเลย แล้วเราใช้กาลเวลา กาลเวลานี่จะเยียวยาให้ความทุกข์นี้หายไปได้ ความทุกข์นี่เราทุกข์มากจนเราไม่มีทางออกเลย แต่กาลเวลาสามารถเยียวยาได้ เห็นไหม เพราะอะไร เพราะมันสงบไปเป็นธรรมดา
นี่ไง โดยไม่ต้องปฏิบัติสมถะมันก็เกิด เพราะไม่มีสิ่งใดคงที่ ทุกข์ขนาดไหนเดี๋ยวมันก็สงบตัวเป็นธรรมดา แต่การเกิดอย่างนี้มันเป็นการเกิดของโลกๆ ไง การเกิดแบบปุถุชน ถ้าการเกิดปุถุชนมันไม่เป็นประโยชน์กับเราเห็นไหม เราเป็นปุถุชน ทุกชนมีสมาธิโดยธรรมชาติ ถ้าไม่มีสมาธิโดยธรรมชาติแล้วกลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว เป็นสมาธิของปุถุชน แต่ถ้าเราสามารถทำสงบได้ มันเป็นกัลยาณปุถุชนเห็นไหม ปุถุชนและกัลยาณปุถุชนต่างกันตรงไหน ปุถุชนหมายถึงว่าเป็นผู้ที่ควบคุมใจตัวเองไม่ได้ มีสิ่งเร้าแล้วไปตามอารมณ์ความรู้สึกหมดเลย
แต่ถ้าเป็นกัลยาณปุถุชนนะ มันเห็นรูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร รูป รส กลิ่น เสียงไม่ใช่กิเลส ฝนตกแดดออกไม่ใช่กิเลส เป็นธรรมชาติของมัน แต่คนที่ไปเจ็บปวดแสบร้อนกับมัน ความรู้สึกของใจเรานี่คือกิเลส สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติไม่เป็นกิเลสหรอก แต่ความรู้สึกไม่ชอบใจไม่พอใจของเราต่างหากเป็นกิเลส รูป รส กลิ่น เสียงไม่ใช่กิเลสเห็นไหม เป็นธรรมชาติของมัน แต่เพราะเราไม่ต้องการหรือเราปรารถนาอยากได้สิ่งนั้น นี่ไง แต่ถ้าเป็นกัลยาณปุถุชนใช่ไหม เพราะที่เขาใช้ปัญญากัน ที่เราใช้ปัญญา เป็นโลกียปัญญา
ปัญญาในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราไปจับหลักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยหลัก แล้วเราไปใช้ปัญญาใคร่ครวญแบบนั้นโดยหลัก พอโดยหลักเสร็จแล้ว เราเข้าใจแล้ว มันก็ปล่อยตรงนี้ไง พอมันปล่อยตรงนี้ปั๊บ เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียงมันเป็นธรรมชาติของมัน เราควบคุมใจเราได้เห็นไหม เราควบคุมใจเราได้นี่คือกัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนคือผู้ที่สามารถเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราได้เพราะรูป รส กลิ่น เสียง สิ่งที่กระทบมันสัมผัสอายตนะทั้ง ๖ นี่มันคือรูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เพราะอะไร เพราะมารมันอยู่ที่ใจ แล้วมันเอารูป รส กลิ่น เสียงที่พอใจมาบูชามัน ทำไมมันไม่เสวย พอมันเสวยเข้าไป มันก็จะเป็นธรรมชาติที่เราหมุนกันอยู่นี่ไง
แต่โดยบุญกุศลที่เราสร้างกันมานะ เพราะเรามีบุญกุศล เราสร้างกันมา จริตนิสัยไง บางคนชอบอย่างนั้น บางคนไม่ชอบอย่างนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นมาเลยมีมุมมองต่างๆ กัน เหตุการณ์ๆ หนึ่งบางคนมองแล้วสะเทือนใจมาก บางคนมองแล้วสะเทือนใจปานกลาง บางคนไม่สะเทือนใจเลยก็มีเห็นไหม มุมมองมันต่างๆ กัน มันอยู่ที่จริตนิสัย ในเหตุการณ์อย่างนั้น แล้วถ้าเรามองเห็นอย่างนั้นนะ รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร จนพิจารณาโดยปัญญาของเราจนมันปล่อยวาง ปล่อยวางบ่อยครั้งเข้าจนเป็นสัจจะความจริงนะ เห็นเลยนะ รูป รส กลิ่น เสียงไม่ใช่เรา เราควบคุมได้หมดเลย นี่กัลยาณปุถุชน
เห็นไหม ในขั้นของสมถะ ในขั้นของสมถะแล้วทุกอย่างจะทำได้หมดเพียงแต่ว่ามันเป็นมิจฉาหรือมันเป็นสัมมาล่ะ ถ้าเป็นมิจฉา เห็นไหม เขาใช้สมาธิไปทำสิ่งที่ผิดพลาด ใช้สมาธิไปทำสิ่งที่กระทบกระเทือนกัน ใช้สมาธิไปทำร้ายกันเห็นไหม ผู้ที่เขาทำคุณไสย เขาก็ใช้สมาธิเหมือนกันเห็นไหม ในสมาธิมันยังมีมิจฉา มีสัมมา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเอกมาก เป็นศาสดาของเรา ครูบาอาจารย์ของเราสุดยอดมาก สุดยอดถึงบอกว่าต้องมีศีล เห็นไหม ถ้ามีศีลการรักษาใจเรา ศีลเห็นไหม ปานาติปาตา เราไม่เบียดเบียนกัน แม้แต่ใน ดูสิ เรายังไม่เบียดเบียนเราเองไง ครูบาอาจารย์บางองค์เห็นไหม ท่านเป็นโรคเป็นภัย ท่านไม่ยอมรักษาเลย ท่านบอกว่าเชื้อโรคมันก็มีชีวิต ท่านไม่เบียดเบียนแม้แต่เชื้อโรคนะ เชื้อโรคในร่างกายของท่าน ท่านยังไม่ยอมทำลายมันเลยเพราะมันเป็นสิ่งที่มีชีวิตเห็นไหม ปานาติปาตา จะไม่ทำลายใครทั้งสิ้น จะไม่เบียดเบียนใครทั้งสิ้น ถ้าไม่เบียดเบียนใครทั้งสิ้น เวลาสมาธิมันเกิดขึ้นมาเห็นไหม มันจะไปทำลายครอบครัวอื่น ไปทำร้ายคนอื่นมันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้
ถ้ามันเป็นไปไม่ได้สมาธิมันเกิดขึ้นมามันก็เป็นสัมมา สัมมาคือสมาธิมีคุณภาพ สมาธิที่เป็นประโยชน์เห็นไหม ถ้าสมาธิที่เป็นประโยชน์ แล้วถ้ามีวาสนาเห็นไหม มันจะมาเข้าที่วาสนาตลอด คำว่าวาสนามันเป็นความคิดนะ มันเป็นความคิดความรู้สึกของคน ถ้าความคิดความรู้สึกของคนดี มันจะคิดถึงชีวิต เห็นสภาพในครอบครัวนะ ตั้งแต่เด็กมันเห็นพ่อแม่ของมัน มันจะคิดสลดสังเวช ทำไมครอบครัวเป็นทุกข์อย่างนี้ ทำไมความเป็นอยู่เป็นทุกข์อย่างนี้ แล้วถ้ามีความรู้สึกอย่างนี้ เขาจะดำรงชีวิตของเขา เห็นไหม เวลาเราเกิดมาในสังคมเห็นไหม พรหมจรรย์ ถือพรหมจรรย์ เนกขัมมบารมี
ถ้ามีครอบครัวนี่มันแบบว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะศีล ๕ แต่ถ้าพรหมจรรย์เห็นไหม ถ้ามันมีนิสัย เขาจะถือพรหมจรรย์ของเขา ถ้าถือพรหมจรรย์ของเขา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นโพธิสัตว์ก็อย่างนี้ ความจะถือพรหมจรรย์มันเกิดมาจากใจนะ มันจริตนิสัย เด็กมันมีมุมมองต่างๆ กันไป แล้วเราจะควบคุม จะดูแลอย่างไรให้เด็กเป็นคนดี แล้วถ้าเด็กมันดีของเขาเอง นี่อภิชาตบุตร เด็กเขาดีของเขาเองเห็นไหม จริตนิสัยเป็นของเขา ถ้าเขาสร้างอย่างนั้นมาเขาเห็น แม้แต่เขาเห็นสิ่งใด มันก็สะเทือนใจเขาแล้ว มันเกิดมาจากภายใน
ไม่ต้องสอนนะ มันเกิดมาจากภายใน ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่เป็นครูบาอาจารย์มีลูกศิษย์อย่างนี้สุดยอดเลย เพราะลูกศิษย์อย่างนี้มันจะทำประโยชน์ ทำทุกอย่างสมความปรารถนาทั้งนั้นเลย แต่มันหาได้ไหมล่ะ หาไม่ได้เพราะอะไร เพราะนี่ไง คนทำบุญหรือทำบาป มันต่างกันตรงนี้ไง บางคนทำบุญมาก บางคนทำบาปมาก ถ้าคนทำบุญมากมันซับซ้อนมา มันซับซ้อนมาจนเป็นจริตนิสัย แล้วเกิดมาจึงมีสภาวะแบบนั้น แล้วเวลาภาวนามันก็เหมือนกัน
ย้อนกลับมาที่การภาวนานะ เพราะมนุษย์สมบัติ เวลาเทวดา อินทร์ พรหมนะมาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ ฟังเทศน์เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้เราไปคิดกันเองว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่สูงส่ง เราคิดนะว่าสิ่งนี้ในสถานะเขาสูงส่งกว่าเรา สถานะสูงส่งหรือสถานะต่ำต้อย คนเหมือนกันนะ ในวัฏฏะก็เหมือนกัน ทุกข์เหมือนกัน คือความรู้เขากับความรู้เราเท่ากัน มนุษย์กับเทวดามีความรู้เท่ากัน อันเดียวกัน ไม่ต่างกันหรอกเพราะมันเกิดจากจิตนี่ไง จิตนี่ไปเป็น ถ้าเราคิดปัจจุบันนี้ เราสงสัยอะไรนะ เทวดาก็สงสัยเหมือนเรา เหมือนกันเพราะจิตนี้ไปเกิด แต่สถานะของเขา เขาได้เป็นเทวดาเท่านั้นเอง
ฉะนั้นเขาถึงไม่รู้เรื่องอริยสัจไง เขาไม่รู้เรื่องศาสนาหรอก เขาเกิดเป็นเทวดา เขามีสถานะอย่างนั้น เขาก็ดำรงชีวิตของเขากันไป รอหมดอายุขัยเท่านั้น เว้นไปแต่เขามีบุญกุศล เขามีบุญกุศลเห็นไหม ถ้าครูบาอาจารย์ของเราองค์ไหนที่เป็นธรรม เขาจะเห็นเพราะเทวดาเขามีความคิด เขาจะดูความคิดได้เพราะความคิดเป็นวัตถุใช่ไหม พอเป็นวัตถุ เพราะเทวดา อินทร์ พรหมเขาไม่มีร่างกาย ร่างกายเขาเป็นทิพย์เขาก็ดูที่ความคิดนี่ไง ถ้าความคิดอันไหนสะอาดบริสุทธิ์ เขาจะสื่อสัมพันธ์กับคนนั้น มนุษย์นี่เหม็นคาว คาวของมนุษย์ มนุษย์เหม็นมาก แต่ที่เรามันไม่เหม็นคาวกันเพราะเราทำความสะอาดกันอยู่นี่ไง เราชะล้างกันอยู่ทุกวี่ทุกวันนะ แปรงฟันตอนเช้านั่นคาวขนาดไหน เทวดาไม่เข้าใกล้หรอก มันคาวตรงนี้ เทวดาเขาไม่มีร่างกายอย่างนี้ที่ให้ไปเหม็นคาวเขา แต่เวลาครูบาอาจารย์เราที่สะอาดบริสุทธิ์ ใจมันสะอาดบริสุทธิ์ ทำไมเขาต้องการปรารถนาล่ะ
มีคนถามบ่อย ว่าครูบาอาจารย์อยู่ในป่าในเขาเทวดาเขาจะรู้ได้อย่างไร เหมือนอย่างนี้นะ ในที่มืดแล้วมีไฟดวงหนึ่งดวงสว่างขึ้นมาเราจะเห็นไหม จิตของพวกเรามืดบอดโดนอวิชชาปกคลุมอยู่ มืดสนิดเลย แล้วจิตของครูบาอาจารย์เราไม่มีกิเลสเลยมันจะสว่างตลอดเวลา ทำไมเขาจะไม่รู้ อยู่ที่ไหนก็รู้ เพราะความคิดเป็นวัตถุ สิ่งนี้เป็นวัตถุนะ มันเป็นวัฏฏะ มันเป็นวังวนไง สัจจะมันเป็นอย่างนี้ ถ้าสัจจะมันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม แล้วหนามยอกเอาหนามบ่ง การแก้กิเลสก็แก้สัจจะตรง สัจจะที่มันคิดโดยธรรมชาติของมัน โดยอวิชชา แล้วเราศึกษาธรรม ศึกษาธรรม แล้วใช้ธรรม ใช้มรรคเข้าไปทำให้สิ่งนี้มันสะอาด ถ้าสิ่งนี้มันสะอาดเห็นไหม พระอรหันต์นะ พระอรหันต์ก็มีความคิดเหมือนเรา พระอรหันต์ก็เป็นมนุษย์นะ พระอรหันต์ก็ต้องกิน ต้องขับถ่ายเหมือนกัน แต่ขับถ่ายด้วยความสะอาด ไม่มีอวิชชา ไม่มีสิ่งใดที่เป็นความสกปรกในหัวใจ เห็นไหม
สิ่งที่เราทำกันอยู่นี่มันเป็นสิ่งที่อวิชชานะ อวิชชา อะคือความไม่รู้ เราไม่รู้ความพอดี ไม่รู้อะไรเลย ทำไปโดยสัญชาตญาณ ถ้าเป็นคนดีนะ ถ้าเป็นคนไม่ดีนะ ถ้าเป็นคนไม่ดีทำไปด้วยอารมณ์ ทำไปด้วยความโกรธ ความโลภ ความหลง แต่ถ้าเราเป็นคนดีเห็นไหม ทำโดยสัญชาตญาณ สัญชาตญาณก็ตัวภพไง สัญชาตญาณก็คือกิเลสไง กิเลสทั้งนั้น เห็นไหม ถ้าทำความสงบเข้ามามันทำมาตรงนี้ได้ ดูสิ เราทำโดยสัญชาตญาณเห็นไหม แล้วเวลาผู้ที่เขาทำสมถะ การทำสมถะมันก็เป็นสัญชาตญาณอันนี้ มันกลับมาสงบได้ไง
ถึงว่าการทำความสงบอะไรก็ได้ ในสมถะ ขั้นของสมถะทุกอย่างทำได้หมดเลย แต่จะเป็นสัมมาหรือเป็นมิจฉาเท่านั้นเอง ถ้าเป็นมิจฉาจะติดกันอยู่อย่างนั้น ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม แล้วมันมหัศจรรย์นะ คนเรานะ ถ้าเป็นเศรษฐีมีเงินมีทองขึ้นมาเล็กน้อยมันก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าเราเป็นคนทุกข์คนยากนะ เรามีเงินบาทสองบาทเราตื่นเต้นมากเลยว่าเรามีตังค์ คนมีวุฒิภาวะของจิตมันต่ำ พอมันเริ่มฝึกฝนทำความสมถะ มันก็เข้าใจว่าสมถะนี้เป็นนิพพาน แต่ถ้าคนเป็นเศรษฐี คนมีอำนาจวาสนา สิ่งนี้ เงินบาทสองบาทเราเก็บหอมรอมริบ มันจะเป็นล้าน เป็นร้อยล้าน เป็นพันล้าน รู้จักประหยัดมัธยัสถ์
แต่ถ้าเป็นเศรษฐี แล้วเศรษฐีไม่รู้จักรักษา เศรษฐีนั่นจะเป็นคนทุกข์คนเข็ญใจต่อไปข้างหน้า ถ้าเราเป็นชาวพุทธ เราเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ธรรมะสอนอยู่แล้วให้ประหยัดให้มัธยัสถ์ สิ่งที่ประหยัดได้ ยิ่งครูบาอาจารย์ยิ่งมีฐานะนะ มีฐานะในคุณธรรมในหัวใจ จะประหยัดมัธยัสถ์มาก เพราะการประหยัดมัธยัสถ์เห็นไหม มันเป็นการแสดงออกนะ เหมือนกับตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ การกระทำมันเป็นการแสดงออกของจิต ถ้าจิตมีคุณภาพ จิตที่ดี เขาจะทำสิ่งที่ดีๆ ของเขาตลอดไป
ถ้าจิตที่คุณภาพไม่ดี จะทำแสดงออกสิ่งที่ไม่ดีเห็นไหม แล้วถ้าจิตที่มันดีมีคุณภาพ แล้วจะไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย มันฝืนกับความรู้สึกไหม มันฝืนกับความรู้สึกกับจิตดวงนั้น มันไม่เป็นธรรมชาติกับจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นเป็นจิตที่ดีจะทำสิ่งที่ดีๆ ถ้าทำสิ่งที่ดี สิ่งที่การกระทำนี้มันถือว่ามันเป็นเรื่องของภายนอกไง ถ้าเรื่องของภายในนะ เรื่องของภายใน งานจากภายใน งานจากภายนอก งานสิ่งต่างๆ เป็นการเครื่องอยู่อาศัยว่าเป็นปัจจัยไง งานภายในนี่การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม เห็นไหม เราพูดกัน ในสังคมยังบอกเลยว่าเราเกิดมาต้องทำหน้าที่การงาน
พระนี่บวชมาแล้วไม่ทำงานอะไรเลย ความเห็นของโลกคิดกันอย่างนั้น แต่ไม่มีใครรู้จักเลยว่าพระทำงานมากกว่าโยมสองเท่า สามเท่า สิบเท่าเพราะโยมทำงานตามเวลา เข้างานออกงานกันตามเวลา แต่พระนี่ทำงานตลอดชีวิต ทำงานตลอดทุกลมหายใจเข้าลมหายใจออก ขาดสติไม่ได้เลย ถ้าขาดสตินะ เราทำงานเห็นไหม ถ้าขาดสติ เหมือนเราเก็บหอมรอมริบ เหมือนตักน้ำ ถ้ามันรั่ว น้ำจะกระจายออกหมดเลย จิตก็เหมือนกัน เราพยายามรักษา เราถนอมมัน แล้วเกิดให้มันปล่อยให้มันแพร่กระจายออกไป จิตมันจะอยู่กับเราไหม เวลานั่งสมาธิภาวนากันนะ อดนอนผ่อนอาหาร ๒๔ ชั่วโมงนะ ๒๔ ชั่วโมงเว้นไว้แต่หลับ มาพักผ่อนบ้างเพราะร่างกายก็ต้องการพัก ถ้าเราไม่พักผ่อนเลยเดี๋ยวร่างกายมันจะเจ็บไข้ได้ป่วยเห็นไหม เราต้องรักษาไว้เพื่อจะประพฤติปฏิบัติไง ไม่ใช่รักษาไว้เพื่อไปหลงใหลมันนะ
ถ้าคนพิจารณากาย จนเห็นเป็นตามความเป็นจริงนะ ในความคิดของปุถุชน ถ้าพิจารณากายจนเห็นกายว่าไม่ใช่เรา แล้วจะไม่ถนอมรักษา แต่ถ้าเป็นอริยบุคคลนะ ยิ่งถนอมรักษา เพราะอะไร เพราะเห็นประโยชน์ของมันไง เห็นคุณค่า เราได้เกิดมาได้เรือมาคนละลำ แล้วทุกคนอยู่ในโอฆะ อยู่ในกามไง อยู่ในโอฆะ อยู่ในมหาสมุทรและทุกคนต้องเอาชีวิตของเราเข้าหาฝั่ง เพราะเราอยู่ในมหาสมุทรมันอันตรายนะ เราไม่รู้จะเกิดพายุวันไหน เราไม่รู้จะเกิดคลื่นลมแรงวันไหน ถ้าคลื่นลมแรงนะ ชีวิตเราก็ต้องตายที่นั่น นี่ก็เหมือนกัน เราได้ร่างกายมาคนละหนึ่ง เราเกิดมามีร่างกายมาเหมือนมีเรือมาคนละหนึ่งลำ แล้วเราจะพาให้เราเข้าถึงฝั่งได้อย่างไร ถ้าเราเข้าถึงฝั่งเราจะถนอม เราจะรักษาเรือเราไหม เราจะปะ เราจะชุน จะรักษาเรือเราให้มันดีเพื่อจะเข้าหาฝั่งไหม
นี่ก็เหมือนกัน คนพิจารณากายตามความเป็นจริง เห็นกายไม่ใช่เรา เขาถนอมรักษานะ แต่โดยความเข้าใจของเราคิดว่าเห็นแล้วจะทิ้งไง ไม่มีใครทิ้งหรอก ยิ่งเห็นแล้วนะมันยิ่งเป็นธรรมชาติของมัน แต่นี่เพราะเราไม่เห็น เรายิ่งถนอมรักษาโดยที่เราไม่รู้ ถนอมรักษาโดยไม่รู้จะไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย คนที่ถนอมรักษาด้วยความรู้ของเขา เขาจะเอาเรือของเขาเข้าหาฝั่ง เอาเรือของเขาเข้าหาฝั่ง
ถ้าเข้าหาฝั่งมันเป็นบุคลาธิษฐาน เห็นเลยว่าเราเอาเรือนี่เข้าหาฝั่ง แต่ถ้าเป็นความจริงนะ มันจะทำลายความเป็นไปในหัวใจไง ทำลายสิ่งที่เป็นปกคลุม ถ้าจิตใจมันมืดบอดอยู่เห็นไหม ทำให้มันสว่างไสว ทำให้มันผ่องใสเห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส
เห็นไหม ตัวจิตเดิมแท้นี้ตัวกิเลสชัดๆ เลย เห็นไหม แล้วเวลาจิตสงบสว่างไสวผ่องใส ความผ่องใส ผ่องใสคู่เศร้าหมอง ความว่างคู่กับความไม่ว่าง สิ่งต่างๆ เป็นของคู่ทั้งหมดเลย แต่วิมุตตินะ พ้นจากการสมมุติทั้งหมด พ้นจากการกล่าวขานทั้งหมด พ้นออกไป แล้วพ้นแล้วมันอยู่ที่ไหน ไม่ใช่พ้นไปแล้วมันจับต้องไม่ได้ พ้นแล้วไม่มีนะ ถ้าพ้นแล้วไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ ปีเอาอะไรมาเทศน์อยู่ พ้นมี พ้นอยู่ในใจพ้นมี การเข้าฝั่งเป็นบุคคลาธิษฐาน ถ้าเป็นบุคคลาธิษฐานทุกคนจะทำอย่างนั้น ทุกคนจะหาขอบเขตอย่างนั้น แล้วการปฏิบัติไปนะผิดเป้าหมาย
การฟังเทศน์นะ ถ้าฟังเทศน์โดยความเห็นของเรา ฟังเทศน์โดยปุถุชนก็ตีความไปโดยปุถุชน แล้วจะไปหาสิ่งที่ท่านอุปมาอุปไมย การเทศนาว่าการ คือการอุปมาอุปไมยสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา สิ่งที่เป็นรูปธรรมขึ้นมาให้เป็นเพียงแต่ที่ปูนหมายป้ายทางให้เราก้าวเดินได้เท่านั้นเอง แต่เวลาที่เราประพฤติปฏิบัติเข้าไปแล้วจะไม่มีใครเหมือนกันเลย เวลาสงบนะ บางคนสงบลงไปเฉยๆ บางคนสงบจะมีการตกจากที่สูง บางคนสงบ ความสงบมัน แล้วขณะที่เป็นคนๆ เดียวกันนะ คราวนี้สงบอย่างนี้ คราวนั้นสงบอย่างอื่น การสงบก็ไม่เหมือนกัน อย่าไปติด อาหารที่มีรสชาตินะ ที่เราชอบ อาหารอันไหนอร่อย เราก็ติดใจในอาหารนั้น แล้วจะต้องกินอาหารนั้นอย่างเดียว ไม่มีหรอก
เราไปอยู่ในพื้นที่ใด ขณะที่เราทุกข์จนเข็นใจมีอะไรที่ให้เราพอกินแล้วพอดำรงชีวิตได้ อย่างนั้นพอแล้ว จิตก็เหมือนกัน เวลาทำความสงบ เวลาเราตั้งใจนะ เพราะจิตมันต้องสงบก่อนนะ ถ้าจิตไม่สงบนี่เหมือนนักกีฬา นักกีฬามีทักษะดีมากเลย แต่ขาดการฝึกซ้อม เขาจะดำรงตำแหน่งของเขาได้ไม่นานหรอก แต่ถ้านักกีฬาคนไหนทักษะนะ เก่งด้วย ดีด้วย หรือพอใช้ได้ก็แล้วแต่ แต่ถ้าเขาหมั่นฝึกซ้อมนะ เขาจะรักษาตำแหน่งของเขาได้นาน
จิตก็เหมือนกันถ้าเรารักษาความสงบของเรา ถ้ามันมีความสงบ กำหนดพุทโธ เหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเราสร้างเหตุขึ้นจิตสงบเข้ามา สงบเข้ามาชั่วคราวเหมือนกินอาหารอิ่มมื้อหนึ่ง แล้วคนเรากินอาหารมื้อเดียวได้ไหม คนเราต้องกินอาหารทุกวันใช่ไหม วันละหลายๆ มื้อ สร้างเหตุบ่อยครั้งเข้า มันสงบบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้าจนมันชำนาญไง ถ้าเรารักษาจนชำนาญ ถ้าชำนาญนะจิตจะไม่เสื่อมเลย
จิตเสื่อมเพราะไม่มีการบำรุงรักษา เริ่มต้น จิตเป็นสมมุติ จิตเป็นอนิจจัง แล้วเราก็รักษาไม่เป็น เราทำไม่เป็น มันก็ไม่สงบเสียที แล้วพอเราทำสงบขึ้นมาได้สักหนหนึ่งมันก็เหมือนกับ เราคนเกิดในที่กันดารแล้วไม่เคยมีอาหารกินเลย ถ้ามีสักมื้อหนึ่งเราจะดีใจมากเลย แล้วเราฝึกขึ้นมาที่กันดารแล้ว เราพยายามปรับพื้นที่เราให้เป็นอุดมสมบูรณ์ขึ้นมา แล้วเราหาอยู่หากินของเราได้เห็นไหม ถ้าเราหาอยู่หากินเราจะไปตกใจเรื่องอาหารทำไม ถ้าเรารู้กำหนดตั้งสติให้เป็น กำหนดพุทโธก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้
คำว่ากำหนดพุทโธเป็นศรัทธาจริต คนที่จะกำหนดพุทโธได้ต้องมีความเชื่อมั่น มันมีความเชื่อ ความเชื่อนี่คือศรัทธาจริต พอศรัทธาจริต ตั้งสติ แล้วพุทโธ พุทโธ พุทโธไป พุทโธนะ ถ้าไม่มีพุทโธ มันเหมือนกับอากาศ มันไม่มีจุด เหมือนคนไม่มีจุดยืน คนต้องมีจุดยืนนะ พุทโธมันเหมือนกับจิตเรามันที่เกาะ จิตนี่มันเป็นนามธรรม แล้วมันเป็นธรรมชาติของมัน แล้วมันไม่มีที่ตั้ง ถ้าเราพุทโธปั๊บมันแสดงตัวทันที พุทโธ พุทโธจิตมันแสดงตัวทันที ต้องมีคำบริกรรม คำบริกรรมนี่เป็นจุดยืน พุทโธ พุทโธไป มันจะเป็นไปได้หรือไม่เป็นไปได้ นี่คือศรัทธาจริต
แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ พุทโธ พุทโธเป็นศรัทธาจริตและศรัทธาคือมีความเชื่อมั่นสูง เชื่อมั่นในศาสนามันจะมีการกระทำ แต่ถ้าคนเรามันมีปัญญาแบบ พุทธปัญญาคือจริต ปัญญาจริตหรือปัญญาชน มันจะพุทโธ พุทโธมันไม่ มันบอกไม่มีเหตุผล มันไม่เชื่อ มันไม่เชื่อก็ต้องใช้ความคิด ถ้าความคิดเขาเรียกว่าปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าปัญญาอบรมสมาธิ ความคิดโดยธรรมชาตินี่เป็นความคิดใช่ไหม ความคิดที่เราคิดอยู่นี่เป็นความคิดอยู่แล้วใช่ไหม เราก็ใช้สติตามความคิดไป ใช้สติตามความคิดว่าคิดอะไรให้ตามความคิดไป ความคิดนี่มีเหตุผลไหม คิดสิ่งนี้ขึ้นมามันมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่มีประโยชน์อะไร คิดขึ้นมาแล้วเจ็บปวดไหม คิดขึ้นมาแล้วมันสะเทือนใจไหม คิดไป ตามความคิดนี้ไปเห็นไหม
ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ คือปัญญาที่รอบรู้ในกองสังขาร ความคิดคือสังขารในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สังขารคือความคิดความปรุงความแต่ง เพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติศาสนาไว้อย่างนี้ โดยนามธรรมไง ความคิดเป็นสังขาร สังขารมี ๒ ชนิด สังขารคือสังขารความคิดความปรุงความแต่งกับสังขารที่คิด สังขารโดยชาวพุทธสังขารคือร่างกาย เขาว่าสังขารนี่คือร่างกายเห็นไหม
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานเห็นไหม ภิกษุทั้งหลายเธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด โลกนี้จะว่างจากพระอรหันต์เลย เห็นไหม สังขารคือการพิจารณากายก็ได้ สังขารคือร่างกายไง สังขารคือสิ่งที่เป็นสังขารคือร่างกาย สังขารคือความคิดความปรุงความแต่งเห็นไหม ถ้าเราใช้ปัญญา ปัญญาในศาสนาพุทธเรา ปัญญาคือการรอบรู้ในกองสังขาร คือปัญญารอบรู้ในความคิด ถ้าปัญญารอบรู้ในความคิดเห็นไหม มันจะไล่ความคิดไป โดยธรรมชาติพลังงานทุกอย่างใช้แล้วมันต้องหมดไป ความคิดของมนุษย์ก็เหมือนกัน ไม่มีใครคิดได้ตลอดไป คิดแล้วเดี๋ยวมันก็หยุด ๑ เหนื่อย ๒ คิดไปไม่รอด ๓ มันล้ามันไม่คิด แต่เราไม่ได้ประโยชน์จากความคิดแบบนี้เลย แต่ถ้าเราตั้งสติตามความคิดนี้ไป โดยธรรมชาติขของมัน ความคิดมันหยุดโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้ประโยชน์จากมัน เหมือนแม่น้ำเจ้าพระยาไหลลงออกอ่าวไทยไป ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่เราจะเอาน้ำนั้นมาใช้ประโยชน์ไหม
ถ้าเราใช้ปัญญาใคร่ครวญกับความคิดนี้ไป มันจะรู้ มันจะเห็นเลยว่า ความคิดบางทีก็ใช้ประโยชน์กับเราได้เป็นวิชาชีพ บางทีเป็นไฟเผาเราล้วนๆ เลย บางทีมันให้โทษกับเราทั้งนั้นเลย แล้วจะคิดทำไม ถ้าเราปฏิบัติหน้าที่การงาน เราต้องใช้ปัญญาต้องคิด แต่ขณะที่เราจะใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันจะไล่เข้ามา พอไล่เข้ามาเหมือนหนูกับแมวเลย แมวตะปบหนูนะ แมวจับหนู หนูไม่กล้ากระดิกเลย ถ้าสติมันตามความคิดไปความคิดจะหยุด แล้วเป็นสัมมาเพราะมีสติตาม แต่ถ้าความคิด มันธรรมดามันก็หยุดโดยธรรมชาติของมัน แต่ไม่มีสติตามเห็นไหม มันไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้นเลย
ความคิดเกิดดับ เกิดดับ ทุกคนเป็นทุกคน โดยธรรมชาติเลย จิตเป็นอย่างนี้ แต่พวกเราไม่เคยเอามาเป็นประโยชน์ ไม่เคยใช้ประโยชน์กับมันไง แต่ถ้าเราใช้สติตามความคิดไป แต่ต้องมีสตินะ ตามความคิดไป ดูความคิดไป ความคิดไม่ใช่จิต ความคิดเกิดจากจิต แต่ไม่ใช่จิต จิตนี้เป็นพลังงานเฉยๆ ตัวใจนี่เป็นพลังงานเฉยๆ ตัวใจ ถ้าความคิดเป็นเรา ความคิดกับจิตอันเดียวกันนะ เราเกิดตายนี่ระลึกชาติได้ทั้งนั้น ทำไมระลึกชาติไม่ได้ล่ะ ระลึกไม่ได้ มันมีเทคนิคอีกมาก มันนึกไม่ได้หรอกเพราะมันมีเทคนิค เพราะมันภพไง มิติมันปิดซ้อนกันอยู่ไง
การเวียนตายเวียนเกิดมันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น ถ้ามันไม่มีตรงนั้นปั๊บจริตนิสัยคนมันจะไม่แตกต่างกันอย่างนี้ ถ้าสติมันตามไป ตามความคิดไปมันจะเห็น มันเห็นเพราะอะไร เราพูดอยู่ โยมนั่งฟังกันอยู่ ฟังบางทีถ้ามันถึงใจนะ มันก็ซึ้งอยู่ แต่ถ้าโยมไปเห็นความคิดหยุดต่อหน้านะ
เหมือนกับเราไปเจอทองคำ แล้วหยิบไปเป็นสมบัติของเราเหมือนที่ว่าอากาศที่หายใจเข้าปอดแล้วเป็นอากาศของเรา อากาศที่อยู่ในบริเวณนี้เป็นอากาศสาธารณะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไปเห็นความคิดหยุดต่อหน้าเรา มันเป็นปัจจัตตังไง มันเป็นสมบัติของเราไง เห็นไหม เราเห็นว่าความคิดหยุดเลย เราตามความคิดไป ความคิดหยุด หยุดบ่อยครั้ง บ่อยครั้งเข้า ปัญญาอบรมสมาธิ สมถะทั้งนั้น สมถะเท่านั้นเพราะมันหยุด แล้วถ้าไม่หยุดมันก็เป็นสมาธิไม่ได้ ถ้าไม่หยุดนะมันก็เป็นโลกียปัญญา
มันเป็นปัญญาโลกๆ มันแก้กิเลสไม่ได้เพราะปัญญาที่เกิดขึ้นกับเรานะ มันปัญญาเกิดจากเราใช่ไหม ปัญญานี้เกิดจากคอมพิวเตอร์หรือ ปัญญานี่เกิดจากอะไร เกิดจากในตู้หนังสือหรือ ไม่ใช่ ปัญญาเกิดจากความคิด ปัญญาเกิดจากภวาสวะ เกิดจากภพ เกิดจากใจ แล้วใจมีอวิชชาปกคลุมมันอยู่ ปัญญาจะเกิดขนาดไหนเป็นโลกียปัญญา เป็นปัญญาโดยกิเลสทั้งหมดเลย แต่พอสติมันตามเข้าไป ตามเข้าไป ตามความเห็นของเราเข้าไป ตามบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า ตามเข้าไป มันหยุดบ่อยครั้งเข้า เห็นไหม มันสงบลง สงบลง พอมันสงบลงนะจะไม่พูดคำว่ารู้ว่าว่างเลย ตัวมันว่าง ไม่ใช่รู้ว่าว่าง
ตัวจิตว่างจริงๆ แต่ปัจจุบันนี้รู้ว่าว่างทั้งนั้น ตัวจิตมันไปรู้ว่าคนอื่นว่าง ตัวมันไม่ว่าง ตัวจิตเองฟุ้งซ่านมาก แต่ไปว่างอยู่ข้างนอก ไปว่างอยู่ที่อวกาศ แต่ถ้ามันไปว่างมันจะว่างในตัวมัน มันจะว่างในตัวมัน นี่ไง สัมมาสมาธิไง เป็นสัมมาหรือเป็นมิจฉาล่ะ ถ้าเป็นมิจฉาก็รู้ว่าว่างกันไปอย่างนั้น รู้ว่าว่าง มองไปหน้าต่างก็ว่าง ทะลุไปเลยเห็นไหม แล้วใครได้อะไร นี่ไง การประพฤติปฏิบัติมันจะออกจากหลักการไปแล้ว ออกจากหลักการไปเพราะว่าโคนำฝูงไง โคนำฝูง ไม่มีคุณธรรมเกิดมาจากใจ ถ้าโคนำฝูงมีคุณธรรมเกิดมาจากใจเพราะสิ่งนี้มันเกิดจากใจ เกิดที่ใจ แล้วดับที่ใจ
ถ้ามันไม่รู้จิตใจ มันจะเอาอะไรไปสอนเขา สัมมาสมาธิเกิดอย่างนี้ ถ้ากำหนดพุทโธก็เป็นอย่างนี้ ถ้ากำหนดปัญญาอบรมสมาธิมันต้องใช้ปัญญาอบรมเข้าไป ถ้าใช้การเพ่งการดูอยู่มันเป็นกสิน กสินมันเป็นเพ่งใช่ไหม เพ่งเพื่อสงบใช่ไหม แต่ถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันจะทวนเข้าไป อย่างเช่น สิ่งต่างๆ ที่เราจะให้มันดีขึ้นมาต้องมีการกระทำ กิจญาณสำคัญมาก ในธรรมจักรเห็นไหม กิจญาณ สัจญาณ ถ้าไม่มีกิจไม่มีการกระทำ มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันจะลอยมาจากฟ้าหรือ ธรรมะที่ไหนมันลอยมาจากฟ้า
แม้แต่เกิดมานี่ เราก็เกิดมาเองเห็นไหม เกิดมาจากครรภ์ของพ่อของแม่ เราไม่มีส่วนร่วม นี่ใครบอกล่ะ เรามีส่วนร่วมนะ ถ้าไม่มีส่วนร่วมนะ พ่อแม่ที่เป็นหมันไม่มีลูก เขาก็ทำกิจกรรมเหมือนกัน แล้วทำไมเขาไม่มีลูก แล้วเวลาเราเกิดมาเพราะจิตเรามันมีส่วนร่วม การเกิด ๔ อย่าง การเกิดในไข่ การเกิดในครรภ์ เกิดในน้ำคร่ำ เกิดเป็นโอปปาติกะ แล้วขณะนี้ไข่ของมารดากับน้ำสเปิร์มของพ่อของเห็นไหม มันก็สัมผัสกัน
ถ้าไม่มีปฏิสนธิจิต ไม่มีเราเป็นส่วนร่วม ไม่มาเกิดนั่งกันอยู่นี่หรอก ไอ้ที่มานั่งกันอยู่เพราะจิตเรามาเกิด อาศัยท้องพ่อท้องแม่เกิด เกิดในไหน เกิดในไข่ ไข่ไหน ไข่ของแม่นะ แล้วยังมาเกิดในครรภ์อีกนะ พอเกิดมาแล้วเพราะสิ่งนี้เรามีส่วนร่วมในการเกิด จิตสำคัญเพราะตัวจิตเป็นตัวเกิด แล้วสิ่งที่มันเกิด ถ้าไปทางโลกเห็นไหม ถ้าไปตรวจกรรมพันธุ์ ดีเอ็นเอเป็นของพ่อแม่หมดเลย แล้วตรวจจิตได้ไหม ถ้าพ่อแม่เป็นคนที่ดีมาก เป็นเศรษฐีทั้งคู่เลย ลูกเกิดมาต้องการันตีให้เป็นเศรษฐีแน่ๆ นะ แล้วเป็นไหม เป็นก็มี ไม่เป็นก็มี นี่ไง กรรมนี่สำคัญมาก การกระทำของกรรมนะ นี่กรรมใช่ไหม พูดถึงการกระทำของจิต
แล้วถ้าพูดถึงเวลาเราเชื่อในศาสนาเห็นไหม วันนี้เรามา เราจะปฏิบัติบูชา บูชาวันนี้วันเฉลิมใช่ไหม เป็นวันสำคัญนะ เพราะอะไรรู้ไหม การเกิดของเราเกิดมาโดยกรรม แล้วเกิดในประเทศอันสมควร ประเทศอันสมควร ประเทศอยู่ที่ไหน ประเทศอยู่ที่ครรภ์ของแม่ไง ครอบครัว ในบ้านก็ประเทศอันหนึ่ง แล้วก็ประเทศชาตินี้อีกอันหนึ่ง ถ้าประเทศชาติสงบร่มเย็น
เราชาวพุทธมันจะมีโอกาสประพฤติปฏิบัติ เราชาวพุทธเห็นไหม สิ่งต่างๆ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ประเสริฐมาก ประเสริฐเพราะอะไร เพราะเป็นศาสนาที่ให้การอภัยนะ พระพุทธเจ้าบอกไว้เห็นไหม เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร การให้อภัยกัน สิ่งต่างๆ จะมีการขัดแย้งกันขนาดไหนก็แล้วแต่ ถึงจุดหนึ่งนะก็ให้อภัยกัน สิ่งที่ให้อภัยเป็นทานอย่างประเสริฐไง แต่ถ้ามันให้อภัยกันไม่ได้นะ ในประเทศต่างๆ เขาจะมีปัญหาไปมาก ดูรอบประเทศไทยสิ แล้วดูในประเทศไทยสิ เราเกิดในประเทศอย่างนี้ เรานะ ถ้าไปเกิดในประเทศอื่นนะ จะโดนเกณฑ์แรงงาน แล้วก็เอาไปลุยกับระเบิด มนุษย์นี่เขาเอาไปล่อ มนุษย์ เราจะไปเกิดในประเทศอย่างนั้นไหม
นี่ไง เกิดในประเทศอันสมควร เกิดท้องพ่อท้องแม่หนึ่ง เกิดในร่มโพธิ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหนึ่ง เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นมงคลชีวิตทั้งนั้น แล้วสิ่งนี้มันเป็นมงคลชีวิตจากภายนอก แล้วมงคลชีวิตจากภายในไง มงคลชีวิตคือตัวใจนี่ไง ชีวิตอันนี้สำคัญที่สุด ในทางโลกนะ ถ้าเรามีจิตใจเป็นสาธารณะ เราเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับสังคม เราจะเป็นคนดี แต่ในทางศาสนานะ สังคมเป็นสังคม เราเป็นเรา ถ้ามนุษย์ทุกคนเป็นคนดีหมด ถ้าเรามานั่งกันอยู่นะ ทุกคนเป็นพระอรหันต์หมดนะ สังคมจะมีความร่มเย็นกว่านี้อีกมหาศาลเลย เพราะพระอรหันต์ไม่ไปเบียดเบียนใคร พระอรหันต์ทำร้ายใครไม่ได้ เพราะเวลาคิดออกมาเห็นไหม มันเสวยไง เสวยอารมณ์
จิตพระอรหันต์ จิตพระอรหันต์ไม่มีนะ แต่พูดเป็นภาษาสมมุติ ถ้าจิตพระอรหันต์มี ตัวจิตคือตัวภพ แต่ถ้าใจ ใจที่เป็นธรรม เวลามันเสวยอารมณ์ ความคิด เวลาพูด เวลาพูดเห็นไหม มันต้องเสวยอารมณ์เพราะถ้าไม่คิดพูดออกมาไม่ได้ ความคิดอันนี้เป็นขันธ์ ๕ แล้วถ้าจิตมันเสวยออกมามันมีสติมาพร้อมไง การฝึกปฏิบัติของเราใหม่ๆ นะ สติไม่ใช่จิต สติเกิดจากจิต ทุกอย่างไม่ใช่จิตทั้งนั้นเลย ทุกอย่างเกิดจากจิต แล้วฝึกไปจนเป็นสติ มหาสติ สติมันจะพัฒนาขึ้นไปเป็นชั้นตอน ถ้าเป็นโสดาปัตติมรรคก็เป็นสติระดับหนึ่ง เป็นสกิทาคามรรคเป็นอนาคามรรค เป็นอรหัตตมรรค มรรค ๔ ผล ๔ คุณภาพของมันไม่เหมือนกัน คุณภาพเหมือนกับนักศึกษาปี ๑ ปี ๒ ปี ๓ ปี ๔ มันไม่เหมือนกัน
การศึกษามันต่างกัน สติมันต่างกันเห็นไหม ฝึกจนชำนาญ ถึงที่สุดแล้วมันสลัดทิ้งหมดเลย แล้วมันกลับไปรวมอยู่ที่เป็นธรรมธาตุ คือตัวใจมันทำลายตัวมันเองทั้งหมด นั่นล่ะ สติเป็นอัตโนมัติตรงนั้น ทีนี้สติอัตโนมัติตรงนั้นปั๊บ มันเคลื่อนออกมาไง พอมันเคลื่อนออกมามันเป็นความคิด มันเคลื่อนออกมาคือมันเสวยอารมณ์ เสวยออกมาเพื่อจะเป็นวัตถุคือเป็นความคิดขึ้นมา เป็นเพื่อจะสั่ง เพื่อให้เข้าถึงระบบสมองสั่งร่างกาย ถ้ามันเคลื่อนมาอย่างนี้ ถ้ามันคิดสิ่งที่ไม่ดี คิดที่เบียดเบียนตัวเอง เบียดเบียนผู้อื่น มันเป็นอกุศล อกุศลเกิดจากใจที่สะอาดไม่ได้ ไม่ได้ อกุศลเกิดจากใจสกปรก ได้ เพราะใจเราสกปรก ใจเป็นอกุศลอยู่แล้วโดยธรรมชาติของมัน แล้วพอคิดขึ้นมามันเลยคิดด้วยอกุศลไง แต่ถ้าจิตมันเป็นกุศล จิตมันเป็นคุณความดีแล้ว มันจะสลัดของมันเห็นไหม
ถ้าเราเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ประเทศชาติจะสงบร่มเย็นมาก ในหน่วยของสังคมเห็นไหม ชาติคืออะไร ชาติคือประชาชนรวมกันขึ้นมาเป็นชาติ แล้วประชาชนล่ะ ทุกหน่วยของคน ทุกคนในชาติเป็นคนดีหมด ชาตินั้นจะร่มเย็นขนาดไหน ชาติที่มันไม่ร่มเย็นก็เพราะว่าการแก่งแย่ง การเห็นแก่ตัว แล้วศาสนานี่สอนให้สละ สอนให้เจือจาง
ศาสนาเหมือนน้ำ น้ำนี่สมาน แบบเขาจะผสมการก่อสร้างเห็นไหม ใช้น้ำผสมต่างๆ ขึ้นมาเพื่อเป็นคอนกรีต ความร่มเย็นของใจถ้าศาสนามันสมานเข้าไปในใจของทุกๆ ดวง เห็นไหม ถ้าใจทุกๆ ดวงเป็นสิ่งที่ดีหมด ชาติก็เป็นชาติที่สงบร่มเย็น นี่ไง เราไปมองมุมกลับ ศาสนากับโลกทวนกระแสนะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแส ย้อนกระแสกลับ ย้อนกระแสแก้ที่ใจเราก่อน แต่โดยสามัญสำนึกของมนุษย์แก้ที่สังคมก่อน ถ้าสังคมดีแล้วจะดีด้วย สังคมเป็นประโยชน์ เขาพูดกันบ่อยมากว่าสังคมดีเราจะมีความสุข ใช่ แต่ยิ่งไปแก้สังคม สังคมต่างคนต่างแก้กันมันถึงออกไปส่งออกเห็นไหม แต่ถ้าย้อนกลับเข้ามาทุกคนแก้ไขตัวเองก่อน ทุกคนเป็นคนดีก่อน สังคมดีโดยอัตโนมัติ สังคมดีโดยธรรมชาติของมันเลย แต่นี่เราไปแก้สังคมก่อน สังคมก่อน แล้วส่งออกกันหมดนะ
นี่สังคมจากภายนอก นี่เป็นโลกนะ แต่ถ้าเป็นธรรมก็เหมือนกัน เป็นธรรมเห็นไหม มันต้องเจาะเข้าไปนะ เจาะทะลุขันธ์ ๕ เข้าไปก็เป็นตัวจิต แล้วจิตมันสงบตัวเข้าไป แล้วจิตนี่ออกทำงานใหม่ จิตออกทำงานใหม่นะ มันเป็นสัมมาสมาธินะมันไม่มีตัวตน ทุกคนมีตัวตน ตัวตนนี่ทำให้เราคิดไปตามอำนาจของเรา แต่ถ้ามันสะอาดแล้วมันจะคิดไปโดย ถ้ามันคิดนะ ถ้ามันไม่คิดมันเป็นสมาธิ มันไม่คิดมันจะเป็นจิตเดิมแท้นี้ผ่องใสเฉยๆ พลังงานเฉยๆ พลังงานปฐมเห็นไหม ถ้าเราไม่เคลื่อนไปเข้าอุตสาหกรรมมันจะเป็นทำโรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างไร ถ้าโรงงานอุตสาหกรรมไม่มีพลังงานปฐม ถ้าไม่มีพลังงานโรงงานตั้งไม่ได้หรอก โรงงานจะตั้งไหนเขาต้องดูตรงพลังงานนี่ก่อน
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตสงบของมันเฉยๆ มันเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วถ้าเรามีวาสนา มันจะเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม โดยอำนาจวาสนา แต่ถ้ามันไม่เห็น เห็นไหมเพราะการสร้างมาของคนไม่เหมือนกัน นิ้วมือคนไม่เท่ากัน ถ้านิ้วมือของคนไม่เท่ากันมันต้องรำพึง ถ้าตรงนี้มันต้องอาศัยอาจารย์ อาจารย์จะพิจารณาว่าจิตมันควรจะพิจารณาหรือยัง ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันพิจารณาไม่ได้ มันกำลังไม่พอ ก็ให้พยายามใช้สงบให้มากขึ้น แล้วถ้ามันสงบไม่ได้ ถ้ามันสงบไม่ เพราะทำการสงบแล้วมันเหมือนกับมันคาอยู่ให้ใช้ปัญญา ปัญญาอย่างนี้มันถึงอยู่ในขั้นสมถะอย่างเดิม ปัญญานี่ให้มันใคร่ครวญออกไปในกาย ในเวทนา จิต ธรรม ในรูป ผม ขน เล็บฟัน หนัง เพราะผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันเป็นสิ่งที่ยอกกับใจ ใจคือสามัญสำนึกมันจะยอกกับสิ่งนี้ ถ้าให้มันใช้ปัญญาออกไปในผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
ถ้ามันใช้ปัญญาออกไป พอมันปล่อยวางเข้ามา มันก็เป็นสมถะอย่างเดิม สมถะอย่างเดิม แต่พลังงานนี้มันจะคงที่ เพราะอะไร เพราะเหมือนผู้ใหญ่รักษาเงินกับเด็กรักษาเงิน เด็กมันรักษาสมบัติไม่ค่อยเป็น ผู้ใหญ่จะรักษาสมบัติเป็น แล้วเราออกไปพิจารณามันจะรักษาสมบัติมันบ่อยครั้ง เข้าบ่อยครั้งเข้า มันจะสงบตัวเข้ามา แล้วให้ออกพิจารณา ถ้ามันยังทำไม่ได้อีกก็พิจารณาอีก พิจารณาเพื่ออะไร เพื่อให้จิตนี้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ให้สติมันเพิ่มขึ้นมากขึ้น พอจิตเพิ่มก็ให้ย้อนกลับไป ให้น้อมไปหากาย เวทนา จิต ธรรม โดยเวทนานี่นะไม่ต้องไปหามัน มันก็เกิดอยู่แล้ว แต่เกิดอยู่แล้วก็ไม่สู้ สู้ไม่เป็นอีก ของมาถึงมือเขาเอาอาหารมาใส่กับมือนะ กินไม่เป็น ปล่อยให้มันตกไป ปล่อยให้มันไม่ได้ประโยชน์เห็นไหม แต่ถ้ามันได้ประโยชน์เห็นไหม
การวิปัสสนา เวทนา ถ้าเวทนามันเกิดนะ บางทีเวทนามันเกิดขึ้นมาเราสู้มันไม่ไหว เห็นไหม การจะต่อสู้กับเวทนามันมีหลายวิธีการ ครูบาอาจารย์ที่เป็น คำว่าเป็นคือมันผ่านประสบการณ์ไง ถ้าเวทนามันเกิดขึ้นมาใช่ไหม แล้วเราสู้ไม่ได้ มันมีอยู่ ๒ วิธีการ ถ้าเรามีกำลังนะ เหมือนกับเรามันมีอำนาจวาสนา เวทนาเกิดขึ้นมามันจะสู้เลย จริงๆนี่ เวทนาไม่มีนะ ถ้าเวทนามีศพคนตายมันจะร้องทุกวันเลยเพราะมันนอนอยู่ ๗วัน๘ วันเห็นไหม เขาสวดศพ ๗ วันมันนอนในโลง ๗ วันมันดิ้นตายเลย ศพมันไม่มีเวทนาเพราะมันไม่มีจิต
เราก็เหมือนกัน นั่งอยู่กายไม่รู้เรื่องอะไรหรอก จิตมันไปเอาเขา จิตนี่ไปรับรู้เขา แล้วถ้าจิตมีกำลังมันจะย้อนกลับมา ย้อนกลับมาไง จริงๆ เวทนาเกิดเพราะจิตโง่ จิตมันไปรับรู้ แล้วพอจิตมันรับรู้นะ เพราะอะไร เพราะมันโดยอวิชชาครอบงำใช่ไหม มันก็อ้างแบบวิทยาศาสตร์ไง อ้าว ก็เพราะนั่งเลือดลมมันไม่เดินนี่ ถ้านั่งอย่างนี้ นี่ไง ถ้าพอกิเลสมันเริ่มคิดนะ อวิชชามันคิดปั๊บ มันจะส่งข้อมูลเข้าไปมหาศาลเลย ให้ยิ่งเจ็บปวดแสบร้อนเข้าไปอีกเพราะเวทนานะ ถ้าเราเอาอวิชชาไปสู้มัน มันจะเพิ่มปวดเป็น ๒ เท่า ๓ เท่า ๔เท่า แต่ถ้าจิตมันมีหลักฐานมีหลักมีเกณฑ์นะ มันพิจารณาเวทนาเข้าไปนะ
อะไรเป็นเวทนา ขอดูหน้าหน่อย กระดูก เอ็น หนัง เนื้อ ไม่มีใครเป็นเวทนาได้ แล้วเวทนามันอยู่ไหน มันไม่มี มันมีเพราะความโง่ แล้วใครโง่ ก็ไอ้ตัวจิตมันโง่ นี่เพราะไม่มีสิ่งใดไปเตือนจิตตัวนี้ว่าโง่ มันก็เลยปล่อยไม่ได้ ให้แต่คนนอกเตือนไง เราเป็นหนี้ แต่เราไปให้คนอื่นมาใช้หนี้แทน ไม่ได้ เราเป็นหนี้ เราต้องใช้หนี้เอง จิตมันโง่ก็ต้องให้จิตมันเห็นเอง
นี่ไง สัจธรรมเป็นอย่างนี้ ถ้าจิตมันเห็นเองเห็นไหม เวทนา โดยธรรมชาติเวทนาไม่มี มีเพราะเราไปติด เราไปยึด ถ้ามันมีนะ เวลาจิตมันเข้าไปวิปัสสนาแล้วมันเข้าใจจริง มันจะปล่อยหมดเลย ว่างหมดเลย ให้ปวดแค่ไหนก็แล้วแต่ ปวดจนทนแทบไม่ได้เลย แต่ถ้ามันเข้าใจปั๊บ มันปล่อยปั๊บ ปวดหายไปไหน ปวดหายไปไหน ถ้ามันมีมันต้องปวดตลอดไปสิ แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ แต่เวลาที่เราปวดทำไมมันมีล่ะ มีเพราะเราไม่เข้าใจไง เราไม่รู้จริงไง การต่อสู้กับเวทนามันก็มีการต่อสู้กัน เวทนาถ้าสู้อย่างนี้ สู้แบบวิปัสสนา แต่ถ้ากำลังของเรายังเด็กๆ อยู่ พยายามกำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธไว้ ดึงความรู้สึกที่มันจะออกไปรู้เวทนาให้มาอยู่ที่ตัวมัน ดึงออกไป
โดยธรรมชาติของจิตรับรู้ได้หนึ่งเดียว มือหยิบของได้ชิ้นเดียว แต่โดยสามัญสำนึกถ้าของมันเล็กหยิบได้หลายๆ ชิ้น ความคิดก็เหมือนกัน ความคิดความจริงมันคิดได้ชิ้นเดียว คิดได้อันเดียว อารมณ์เดียว แต่มันอารมณ์เกี่ยวเนื่องกันมี บางทีคิดซ้อนได้ไง ถ้านี่บอกคิดซ้อน เวทนา เวลาเราจะดึงกลับมา มันพุทโธ พุทโธอยู่แล้ว มันยังมีซ้อนอยู่ไง เวทนามันก็ยังไม่หายไง แต่พุทโธ พุทโธด้วยสัจจะความจริงนะ ดึงกลับมาให้หมดนะ แล้วมีสัจจะมันจะดึงกลับมาที่พุทโธหมดเลย เวทนาหายเหมือนกัน
อันนี้เป็นสมถะ คำว่าสมถะหมายถึงว่ามันเป็นกำปั้นทุบดิน มันไม่มีปัญญาแยกแยะ มันไม่เข้าใจสัจจะความจริง มันไม่ใช่วิปัสสนาเพราะกิเลสมันจะขาดได้ด้วยปัญญา แต่ปัญญาถ้าไม่มีสมาธิหนุนนะ มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นสัญญา เราไปท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทองเป็นสัญญา ถ้าสัญญาอย่างนี้แก้กิเลสได้นะ คอมพิวเตอร์มันแก้กิเลสได้ เดี๋ยวนี้นะพระไตรปิฎกนี่เขาใส่ซีดีรอมมันออกคอมพิวเตอร์หมด แก้กิเลสไม่ได้หรอก แก้กิเลสมันต้องใจ มันต้องเป็นปัญญาโดยตัวมันเอง
ปัญญามันเกิดอย่างนี้ นี้ปัญญามันเกิดอย่างนี้ มันเราฝึกไง สมถะเป็นอันหนึ่ง เวลามัน พอจิตสงบแล้วใช้ปัญญาเป็นอีกอันหนึ่ง แล้วถ้าเป็นปัญญา ปัญญามันก็มีโลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา ปัญญาของพระโสดาบัน ใช่ไหม ปัญญาของพระสกิทา ปัญญาของพระอนาคา ปัญญาของพระอรหันต์ คนละชั้นทั้งนั้น ฉะนั้นเวลาพูดธรรมะนะ ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ ธรรมะมันจะมีตื้น ลึก ลึกสุดๆ เวลาตื้นเห็นไหม ตื้นๆ ความตื้นนี่คือปุถุชน กัลยาณปุถุชน เวลาคุยกันเราฟังธรรมะกันเป็นแค่นี้ คือสิ่งที่วางไว้บนโต๊ะไง แล้วใต้โต๊ะ แล้วอยู่ในลิ้นชักอีกล่ะ
กิเลสนี่มันเป็นลึกซึ้ง ถ้าปฏิบัติไปแล้วนะ เห็นความเป็นไปของกิเลสนะ แล้วฟังธรรมที่เขามาเทศน์กันนะ ฟังไม่ได้หรอก ฟังไม่ได้ แผ่นเสียงตกร่อง ไร้สาระ ไร้สาระมากๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเป็นความจริงมันจะมีแนวดิ่งของมัน แนวดิ่งเข้าไปในหัวใจเลย ไม่งั้นทำไมกิเลสมันมีหยาบมีละเอียดล่ะ ทำไมภพชาติเห็นไหม มันเกิด ๓ชาติ ๔ ชาติ ๗ ชาติล่ะ มันมีของมันไปล่ะ สัจจะมันเป็นอย่างนี้ เพราะการกระทำนี่
เราเกิดมาในพุทธศาสนานี่สุดยอดมาก เวลาสุภัททะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะว่าศาสนาไหนเขาว่าประเสริฐๆ ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ว่าศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล มรรคไง อริยสัจมีเฉพาะในศาสนาพุทธ ตอนนี้ลัทธิต่างๆ เขาพยายามจะเขียนเข้าไปในลัทธิของเขา อันนั้นถ้ามองโดยผู้มีปัญญาเขาว่าคนนั้นไม่ฉลาดเลย เพราะยิ่งเขียนเข้าไปมันยิ่งประจานตัวเองว่าตัวเองไม่มีอะไร แต่ถ้าเรามีขนาดไหน เราใช้ของเราแค่นั้น เราเป็นคนใช่ไหม มีฐานะขนาดไหน เราก็จะทำขนาดนั้น เราไม่ไปเอาสมบัติของคนอื่นมาเป็นของเราหรอก เพราะอะไร เพราะเอกสารหลักฐานมันมี การกระทำอะไรก็แล้วแต่มันมีหลักฐานทั้งนั้น
ถ้าทำอะไรแล้วมันไม่เป็นสุจริต มันจะทำความสะอาดเพื่อเป็นศาสนาได้อย่างไร ศาสนามันต้องสะอาดบริสุทธิ์ แล้วเราก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความตั้งใจสะอาดบริสุทธิ์นะ ศีลมันก็เริ่มสะอาดเข้ามา ถ้าเป็นสมาธิก็เป็นสัมมา ถ้าเป็นปัญญาก็เป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาฆ่ากิเลส ถ้าปัญญานะ ความกล้าความเข้มแข็งของคนมันก็ยังต้องมีสัมมามีมิจฉาเหมือนกัน กล้าในทางที่ผิดพลาดก็มี กล้าในทางที่ถูกต้องก็มี ถ้าความเข้มแข็งเห็นไหม ต้องมีทุกๆ คน ถึงจะเอาชนะตนเองได้ เอาชนะตนเองเห็นไหม เพื่อความดีงามของเรา เอวัง